เลี้ยงลูกแบบฝรั่งมันดีแบบนี้นี่เอง

เรื่องจริง 5 วิธีเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง มันดีแบบนี้นี่เอง!

1. พ่อแม่ไม่เคยบอกว่าลูกต้องเป็นอะไร แต่จะสนับสนุนในสิ่งที่ลูกชอบ
ลูกชายคนโตของบ้านนี้ชอบปศุสัตว์ พ่อกับแม่จึงซื้อวัว ซื้อหมูมาให้เลี้ยง ซึ่งเขาก็ดูแลมันอย่างดี เอาไปประกวดระดับรัฐได้รางวัลชนะเลิศ ลูกชายคนกลาง ชอบเล่นดนตรี พ่อแม่ก็เชียร์เต็มที่ เขาเล่นได้เป็น 10 ชนิด อยู่ในวงดุริยางค์ของโรงเรียนและเล่นดนตรีในโบสถ์ ลูกสาวคนเล็ก ชอบวาดรูป บนโต๊ะวาดเขียนเธออย่างกะเด็กสถาปัตย์ (ทั้งๆ ที่เรียนระดับประถมอยู่) มีสีน้ำทุกชนิด มีอุปกรณ์การเพ้นท์นู่นนี่ บ้านนี้จะสนับสนุนในด้านที่ลูกชอบและถนัดไปเลย เพราะเขาเชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพในตัวเองซ่อนอยู่

2. ไม่ห้ามลูกมีแฟน
อันนี้อาจจะขัดกับสังคมไทยเล็กน้อย แต่โฮสแม่บอกว่า ถึงเราห้าม เด็กก็มีแฟนอยู่ดี สู้ให้ลูกมี แต่เรารู้ และอยู่ในสายตาเราดีกว่า บ้านนี้เค้าช่วยลูกเลือกแฟนด้วยนะคะ มีแซวลูกด้วย หมอว่ามันดีมากเลยที่มีผู้ใหญ่คอยช่วยตัดสินใจ เพราะเด็กๆ วัยรุ่นมักจะทำอะไรด้วยอารมณ์ ถ้าพ่อแม่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เขาอาจจะทำอะไรโดยไม่ทันคิดได้
 
3. ให้ลูกรับผิดชอบชีวิตตัวเอง
ให้เขารู้ว่าพ่อกับแม่ไม่สามารถอยู่เพื่อปกป้องลูกตลอดไปได้ ลูกต้องโตขึ้นและช่วยเหลือตัวเองได้ โฮสแม่กับโฮสพ่อจะมอบหมายงานบ้านตามอายุให้ลูกๆ ตั้งแต่เด็กๆ เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว หมอยังจำได้ ตื่นเช้ามาคนพี่ที่ตอนนั้นอายุ 9 ขวบ ต้องให้อาหารน้องหมาคนกลาง 6 ขวบต้องให้อาหารนก คนเล็ก 2 ขวบต้องเลือกเสื้อผ้าและรองเท้าไปโรงเรียนด้วยตัวเอง และทานข้าวเอง ไม่มีการป้อน  พอโตมา ตอนนี้คนโตอยู่มหาวิทยาลัย เขาก็ต้องทำงานพิเศษเพื่อหาค่าเทอมไปด้วย เรียนไปด้วย

4. มีเวลาพิเศษของครอบครัว
วันหยุดสุดสัปดาห์จะต้องมี Family Time คือทำกิจกรรมเป็นครอบครัว ให้ทุกคนมาอยู่ร่วมกัน เช่น ตกปลา ย่างบาร์บีคิว ฯลฯ และในทุกๆ ปีจะมีช่วงเวลา “พ่อ-ลูกสาว”, และ “แม่-ลูกชาย” คือไปเดทกัน 1 วัน มีโมเม้นต์กุ๊กกิ๊ก และโฮสพ่อโฮสแม่จะสอนเรื่องการวางตัวกับเพศตรงข้ามให้ลูกด้วย

5. มีเวลาระหว่างพ่อกับแม่
ในหนึ่งปี โฮสแม่กับโฮสพ่อจะทำกิจกรรมร่วมกันหนึ่งอย่าง บางปีเค้าก็ไปเรียนเต้นรำ 1 คอร์ส บางปีก็ไปเรียนทำอาหารด้วยกันเป็นการเติมความหวานให้ชีวิตคู่ และลูกๆ จะรู้สึกอุ่นใจว่าพ่อแม่เขายังรักกันมากๆ อยู่นะ

ต้องบอกก่อนว่าหมอไม่ได้อวยสังคมอเมริกันนะคะ แต่เห็นว่ามีสิ่งดีๆ ที่ทำให้เราเรียนรู้ได้ ก็สามารถนำมาปรับใช้ให้เข้ากับวัฒนธรรมเรา อันไหนไม่โอเค เราก็ไม่ต้องเอามา เช่นการกอดจูบกันในโรงเรียน หรือ แกล้งเพื่อน (bully) หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้